(ขอขอบคุณรูปภาพจาก: กระทรวงสาธารณสุข)
กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยถูกงูพิษกัดปีละ 7,000-10,000 คน เตือนประชาชนยังมีความเข้าใจผิดวิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด ห้ามกรีดแผล ดูดพิษจากแผล พอกยา อาจทำให้แผลติดเชื้อ ห้ามขันชะเนาะเพิ่มความเสี่ยงเกิดเนื้อเน่าตาย
วันนี้(29 พ.ค.2562) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนประชาชนอาจถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยได้ เช่น ตะขาบ แมงป่อง โดยเฉพาะงู ซึ่งในแต่ละปีมีรายงานผู้ป่วยถูกงูพิษกัดประมาณ 7,000-10,000 คน ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เตือนประชาชน และให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากอันตรายของสัตว์มีพิษ
รวมทั้งให้โรงพยาบาลในสังกัด เตรียมสำรองเซรุ่มแก้พิษงูที่พบบ่อยในแต่ละภูมิภาค 7 ชนิดได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ลดการเสียชีวิต
นพ.ไพศาล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้หากเป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาท มีรายงานว่าผู้ป่วยอาจอาการแย่ลง จนเกิดภาวะหายใจวายทันที หลังคลายการขันชะเนาะได้ วิธีที่ถูกต้องคือ ขอให้ตั้งสติและสังเกตลักษณะของงู รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หรือโทรแจ้ง 1669
โดยล้างบริเวณที่ถูกงูกัดด้วยน้ำสะอาด เคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ยกให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ อาจดามด้วยแผ่นไม้หรือวัสดุแข็งแล้วใช้ผ้าพันแผลยางยืดรัดให้แน่น เพื่อประคองให้ส่วนที่ถูกกัดอยู่นิ่งที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับงูที่กัดมาด้วย เพราะจะเสียเวลาในการรักษา แพทย์สามารถให้การรักษาได้จากอาการและการสอบถามลักษณะงูที่กัดจากผู้ป่วย
แนะสังเกต "รอยเขี้ยวงู" แยกชนิด
ทั้งนี้ งูพิษมีเขี้ยวยาว 2 เขี้ยวอยู่ด้านหน้าขากรรไกรบน ลักษณะเป็นท่อปลายแหลมเหมือนเข็มฉีดยา มีท่อต่อมน้ำพิษที่โคนเขี้ยว เมื่องูกัดพิษจะไหลเข้าสู่ร่างกายทางรอยเขี้ยว และมีอาการบวมแดงรอบ ๆ รอยกัด บางครั้งอาจเห็นเพียงรอยเดียว
โดยเฉพาะถ้าถูกกัดบริเวณปลายมือปลายเท้า หรือบางครั้งอาจเห็นมากกว่า 2 รอยในกรณีที่ถูกกัดมากกว่า 1 ครั้ง อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน หายใจติดขัด หากรุนแรงอาจหยุดหายใจ สายตาขุ่นมัว มีน้ำลายมากผิดปกติ และหน้าชาไม่รู้สึกหรือชาตามแขนขา โดยพิษนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของงู เช่นงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจได้
ขอขอบคุณบทความจาก : https://www.thaipbs.or.th/news/content/280457