องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมาว่า นักวิทยาศาสตร์พบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นลูกผสมของเชื้อกลายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน ทำให้สายพันธุ์นี้มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่เรียกขานกันทั่วไปว่า "เดลตาครอน" (Deltacron) แม้ทางองค์การอนามัยโลกยังคงใช้รหัสเรียกชื่อเชื้อตัวนี้ว่า AY.4/BA.1 ก็ตาม
ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อเดลตาครอนในยุโรป สหรัฐฯ และอเมริกาใต้ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงไม่แน่ใจว่า เชื้อลูกผสมนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงจนทำให้มันแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าเก่าหรือไม่ ทั้งยังไม่ทราบว่ามันสามารถต่อต้านวัคซีน หรือทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงขึ้นได้หรือไม่ด้วย
ต้นกำเนิดและการแพร่ระบาด
ฐานข้อมูลออนไลน์ GISAID ซึ่งรวบรวมข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาระบุว่า พบกรณีการติดเชื้อเดลตาครอนรายแรกที่ฝรั่งเศส เมื่อช่วงเดือนมกราคมของปีนี้ โดยถือเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ต่อมายังพบผู้ติดเชื้อนี้เพิ่มในเบลเยียม เยอรมนี เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ แต่ปัจจุบันพบได้มากที่สุดในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และบราซิล
อย่างไรก็ตาม กรณีการติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับสายพันธุ์นี้ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยสถิติ ณ วันที่ 15 มีนาคม มีการส่งมอบตัวอย่างเชื้อให้ GISAID เพียง 47 ตัวอย่างจากทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากฝรั่งเศส 36 ตัวอย่าง
แม้จะยังสรุปเป็นที่แน่นอนไม่ได้ก็ตาม แต่ข้อมูลที่ชี้ว่ากรณีการติดเชื้อเดลตาครอนระหว่างเดือนม.ค.-มี.ค.ของปีนี้ ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดแบบเลขยกกำลัง อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ตีความได้ว่า เชื้อเดลตาครอนไม่ได้มีอัตราการแพร่ระบาดสูงไปกว่าเชื้อเดลตาหรือโอมิครอนนัก
ข้อมูลจากงานวิจัยที่ยังไม่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ซึ่งจัดทำโดยเฮลิกซ์ (Helix) บริษัทเอกชนในสหรัฐฯที่รับถอดลำดับพันธุกรรม ยืนยันว่าข้อสันนิษฐานข้างต้นน่าจะถูกต้อง โดยผลวิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อโควิด 29,000 รายในสหรัฐฯ ที่ได้มาระหว่างช่วงเดือนพ.ย. 2021 ถึงเดือน ก.พ. 2022 ซึ่งมีการแพร่กระจายของเชื้อเดลตาและโอมิครอนอย่างหนัก กลับพบเชื้อเดลตาครอนในจำนวนนี้เพียง 2 รายเท่านั้น
ทีมผู้วิจัยสรุปว่า ขณะนี้เชื้อเดลตาครอนยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ถือว่าหาพบยาก ทั้งยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เชื้อลูกผสมนี้จะสามารถติดต่อกันได้ง่ายยิ่งกว่าเชื้อโอมิครอนที่แพร่กระจายอยู่ในปัจจุบัน
เชื้อกลายพันธุ์มาผสมกันได้อย่างไร ?
เฟลิเป นาเวกา นักไวรัสวิทยาประจำสถาบันวิจัยด้านสาธารณสุข FioCruz ของบราซิล บอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า การที่เชื้อกลายพันธุ์ยังมาผสมพันธุ์กันได้อีกนั้น ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายหรือหาพบได้ยากแต่อย่างใด
"เป็นไปได้ว่าเรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับเชื้อโควิดสายพันธุ์อื่นมาแล้วหลายครั้ง แต่เนื่องจากไวรัสโคโรนาแต่ละชนิดคล้ายกันมากมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เลยไม่อาจจะแยกแยะและตรวจจับได้ง่ายนัก" นาเวกากล่าว
"ไวรัสนั้นมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และการอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ตอนนี้เราแค่ต้องประเมินและทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่เชื้อลูกผสมจะมีต่อการระบาดใหญ่ของโควิดต่อไป"
ถึงกระนั้นก็ตาม สาเหตุที่ทำให้เชื้อกลายพันธุ์มาผสมกันได้นั้น อันดับแรกเกิดจากภาวการณ์ที่เชื้อกลายพันธุ์ทั้งชนิดเดลตาและโอมิครอนแพร่ระบาดอย่างหนักพร้อมกันในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรามีโอกาสติดเชื้อทั้งสองชนิดพร้อมกันได้ จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้คนในที่สาธารณะ เช่นผับบาร์ รถโดยสาร หรือสถานที่อื่น ๆ ที่มีผู้คนแออัด
เชื้อกลายพันธุ์ทั้งสองสามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกายของเราได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมภายในเซลล์ของมนุษย์ และให้กำเนิดลูกผสมที่มีพันธุกรรมของไวรัสทั้งสองแบบขึ้น โดยล่าสุดมีรายงานว่าเชื้อเดลตาครอนมีส่วนหนามแบบเดียวกับโอมิครอน ในขณะที่ส่วนลำตัวนั้นเหมือนกับของเดลตา
ยังไม่ชัดเจนว่าเดลตาครอนจะทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตให้สูงกว่าเดิมหรือไม่ นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลว่ามันสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อโควิดครั้งก่อน ๆ หรือภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้หรือไม่ด้วย